วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประวัติปราสาทปรางค์กู่



เชิญเที่ยวชมโบราณสถานปราสาทปรางค์กู่
“ปรางค์กู่คู่บ้าน  สระกู่คู่เมือง
ลือเลื่องวัฒนธรรม  เลิศล้ำสามัคคี
ผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์ ของดีหลวงปู่งาม”




  


ปราสาทปรางค์กู่  ภาษากูยเรียกว่า “เถียด เซาะโก”  ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ลักษณะเป็นปราสาท  3 หลัง สร้างเป็นแนวเรียงหน้ากระดานจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ตั้งอยู่บนฐานที่สร้างด้วยหินศิลาแลงทั้งหมด ปราสาทหลังที่ 1 และ 2 สร้างด้วยอิฐมอญขนาดใหญ่ เสาแกะสลักลวดลายติดขอบประตูเพื่อรองรับทับหลัง เสาและทับหลังสร้างด้วยหินทราย ส่วนปราสาทหลังทิศเหนือเป็นหลังเดียวที่สร้างจากหินศิลาแลง มีเสาแกะสลักลวดลาย และทับหลังที่สร้างจากหินทรายเช่นกัน ยอดปราสาทเป็นบัวตูมมีลักษณะเช่นเดียวกันกับปราสาทศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์


   
ปัจจุบันยอดปราสาทได้พังทลายลง ทับหลังและเสาติดขอบประตูได้ถูกโจรลักขโมยไปวัตถุบางชิ้นก็ตามกลับคืนมาได้และเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา มีหลายชิ้นที่นำมาเก็บไว้ที่วัดบ้านกู่ ปราสาทปรางค์กู่สร้างเมื่อ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สมัยขอมเรืองอำนาจ สันนิษฐานว่าสร้างเพื่อใช้เป็นเทวสถาน ในสภาพที่ล้อมรอบด้วยสระน้ำ ซึ่งสภาวัฒนธรรมตำบลกู่ได้มีการสร้างทับหลังจำลอง ความกว้างเท่าของจริงมาตั้งไว้บนฐานด้านหน้าตัวปราสาทเพื่อให้ผู้คนที่มาเที่ยวชมได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป และปราสาทปรางค์กู่นั้นยังเป็นสถานที่ที่ชุมชนชาวกูยให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง หากมีกิจกรรมในหมู่บ้าน หรือศาสนพิธีต่างๆ ก็จะมีการนำเครื่องเซ่นไหว้มาบอกกล่าวที่ปราสาทปรางค์กู่ให้รับทราบ ซึ่งชาวกูยบ้านกู่ได้สมมติชื่อวิญญาณที่สิงสถิต ณ ปราสาทกู่ว่า“ปู่พัทธเสน” และใช้เรียกขานชื่อนี้ในการเซ่นไหว้ตลอดมา







ปรางค์กู่ เป็นศาสนสถานที่ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมร ตั้งอยู่บริเวณบ้านกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ โดยอยู่ห่างจากตัวอำเภอปรางค์กู่ประมาณ 5 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากจังหวัดศรีสะเกษประมาร 65 กิโลเมตร กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2478 และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเป็นพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 155 วันที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2525

 ปรางค์กู่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านกู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบทาง  ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ส่วนทางทิศเหนือเป็นสระขนาดใหญ่ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 350 x 700 เมตร พื้นที่ภายในเมืองโบราณมีบ้านเรือนราษฎรปลูกอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น บริเวณรอบนอกเมืองโบราณเป็นทุ่งนาเพาะปลูกข้าว ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านประมาณ 200 เมตร เป็นที่ตั้งของปราสาทปรางค์กู่ โดยอยู่ห่างจากสระประมาณ 200 เมตร






ทับหลังแผ่นที่ 1 เป็นชิ้นส่วนทับหลังประดับประตูปรางค์องค์ทิศใต้ โดยจำหลักเป็นภาพพระนารายณ์สี่กรถือสังข์ จักร คธา และดอกบัวยืนอยู่บนปีกครุฑ ก็ยืนเหยียบอยู่บนหลังสิงห์ 2 ตัว ที่หันหลังให้กัน สิงห์ทั้ง 2 ตัวคายท่อนพวงมาลัยออกมา โดยใช้มือยึดจับท่อนพวงมาลัยไว้ด้วยที่ปลายท่อนพวงมาลัยนั้นจำหลักเป็นรูปเทวดานคราชออกมาเห็นในด้านข้าง 3 เศียร

  
ส่วนแถวบนของทับหลังจำหลักภาพเทวดาในท่าฟ้อนรำ ประกอบอยู่ 2 ด้าน ด้านละ 3 องค์ ทั้งพระนารายณ์ และเทวดาจะอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว และริมสุดของภาพจำหลักแถวบนมีเทวดานั่งอีกด้านละ 1 องค์
ลักษณะการนุ่งผ้าของพระนารายณ์หรือวิษณุ จะนุ่งผ้าเว้าลงใต้สะดือ มีชายผ้าปล่อยยาวลงด้านหน้าหยัก 3 ชั้น สำหรับท่อนพวงมาลัยที่สิงห์คายออกมา จำหลักเป็นลายกลีบบัวหรือดอกบัวบานหันเข้าหากันเป็นคู่ๆ แต่ละคู่คั่นด้วยเส้นลวดบัว ใต้ท่อนพวงมาลัยจำหลักเป็นลานก้านขด หรือใบไม้ม้วนขนาดใหญ่จนเต็มพื้นที่


ทับหลังแผ่นที่ 2 เป็นทับหลังเหนือกรอบแผ่นปรางค์องค์ทิศเหนือ จำหลักภาพเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามพระลักษณ์ถูกศรนาคบาศรัด คล้ายกับทับหลังที่ประตูมุขของมณฑปด้านทิศตะวันตก มีภาพฝูงลิงเป็นจำนวนมาก ประกอบจนเต็มพื้นที่ ฝูงลิงแสดงความเคลื่อนไหวและแสดงอาการเศร้าสลด โดยมีภาพจำหลักลายก้านขด หรือใบไม้ม้วนประกอบอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังจำหลักเป็นภาพบุคคลหรือเทวดาเหาะ ทั้งองค์พระรามและพระลักษณ์จำหลักในท่านอนติดกันมีศรนาคบาศรัดตลอดตัว และที่ด้านบนศีรษะของพระรามพระลักษณ์มีภาพสตรีในท่านั่ง ซึ่งอาจเป็นนางสีดามเหสีของพระราม (ทับหลังแผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภันฑสถานแห่งชาติ พิมาย)
ทับหลังแผ่นที่ 3 เป็นทับหลังประตูปรางค์ประธานหรือปรางค์กลาง โดยจำหลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณยืนอยู่บนแท่นซึ่งวางอยู่เหนือหน้ากาลหรือเกียรติมุขหน้ากาลจะแยกเขี้ยวคายท่อนพวงมาลัยออกมาทั้ง 2 ข้าง ลักษณะของท่อนพวงมาลัยจำหลักรูปกลีบบัวผสมผสานก้านขด ที่ปลายลายใบไม้ม้วนประกอบจนเต็ม สำหรับพระอินทร์ ประทับนั่งบนหลังช้าง มีภาพจำหลักควาญช้างอยู่หัวและท้าย มีลักษณะคล้ายกลดกั้น ภาพจำหลักที่ประกอบอยู่แถวบนทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน คือ ด้านซ้ายเป็นภาพเทพฟ้อนรำอยู่ภายในซุ้มซึ่งมีขนาดองค์ใหญ่กว่า ส่วนด้านขวาเป็นภาพเทวดาสององค์ ในท่าฟ้อนรำภายในซุ้ม ลักษณะของซุ้มก็มีความแตกต่างกัน




เสาประดับกรอบประตู ลักษณะลวดลายของเสาประดับกรอบประตูคล้ายคลึงกับเสาประดับกรอบประตูปราสาทหินพิมาย คือเป็นเสาเหลี่ยมมีเครื่องประดับตกแต่งมาก จำหลักลวดลายต่างๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายใบไม้เล็กๆ คล้ายฟันปลา ลายเกสรบัว ลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายประจำยาม ลักษณะเสาประดับกรอบประตูจัดอยู่ในสมัยนครวัดตอนต้น
คานรองรับซุ้มหน้าบันปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พิมาย ลักษณะคานรองรับบริเวณปลายสุดทำเป็นเศียรนาค 5 เศียร ตัวคานจำหลักลวดลายเป็นหัวเพราคายเศียรนาคอยู่ทั้ง 2 มุม แนวคานที่รองรับจำหลักลวดลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายประจำยามเป็นแถวยาวคั่นด้วยลายนูนลูกประคำ สลับด้วยลายกลีบบัว และลายเกสรบัว
ตัวเสาที่รองรับคาน ลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยม ส่วนยอดเสาเป็นชั้นหน้ากระดานจำหลักลวดลายเป็นลายประจำยามและลายกลีบดอกไม้ ใต้ลงมาคือส่วนชั้นบัวหงายจำหลักลายพรรณพฤกษา ลายใบไม้ม้วน และสลักรูปครุฑขนาดเล็กในท่าแบกหัวเสาอยู่ตรงมุม ชั้นต่อลงมาจำหลักเป็นลายกลีบบัวเรียงต่อกันรอบเสา

ลักษณะของเศียรนาคที่ประกอบคานรองรับหน้าบันของปรางค์ มีความคล้ายคลึงกับเศียรนาคที่ปราสาทหินพิมาย คือ เศียรนาคตรงกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด คายพวงอุบะเป็นลายกนก หน้าของนาคค่อนข้างดุร้ายและน่ากลัว มีตาโต โปน และแยกเขี้ยว บริเวณหน้าอกจำหลักรูปดอกบัวกลม ลักษณะของเศียรนาคดังกล่าวจัดอยู่ในศิลปะแบบนครวัดตอนต้น (ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 17

หน่วยงานที่สนใจศึกษาดูงานวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีชาวกูย (การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)
ติดต่อ กำนันทนงศักดิ์  นรดี  โทรศัพท์ 0890578852
          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น